Turtle Tanawan ;
Come and see IDEA and my Imagination.
nice to meet you :)

Monday, August 9

Vernacular Trip 24 july - 1 Aug 2010


pre -Trip : ทุ่งครุ - อาศรมศิลป์ : 07/07/2010

เราเริ่มออกเดินทางจากคณะ ในเวลาบ่ายแก่ๆของวันหนึ่่ง อุณหภูมิ ณ ขณะนั้น คิดว่าสามารถย่างไก่ให้สุกได้ไม่ยาก

ใช้เวลาในการเดินทางนานพอสมควร นานจนหลับไปได้หลายตื่นแล้วก็ยังไม่ถึงซักที ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ตกลงที่ๆเรากำลังจะไปนี่มันอยู่ในกรุงเทพฯ จริงๆรึเปล่า พระราม 2 กับลาดกระบังมันไกลกันขนาดนี้เลยหรอ


เมื่อรถแล่นไปได้ซักระยะหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงอาจารย์สั่งให้ทุกคนลงจากรถ แล้วทุกคนก็หันมาสบตากันแบบงงๆ
"ถึงแล้วหรอวะ!??"
มองออกไปนอกรถ สองข้างทางมันมีแต่ทุ่งนา แล้วก็มีบ้านเก่าๆอยู่สามสี่หลั
" ไม่ใช่มั้ง เค้าแวะกินข้าวรึเปล่า "
" ........."
"เอาวะ ลงก็ลง ว่าแต่...แดดมันร้อนขนาดนี้ เซเลปอย่างกูจะลงยังไงเนี่ย "
แต่คำว่างาน ย่อมต้องมาก่อนสิ่งอื่นใดทั้งปวง พวกเราจึงต้องกัดฟันเดินลงไปอย่างทุลักทุเล

จากที่ได้ฟังอาจารย์จิ๋วพูดมา ชุมชนแห่งนี้ เป็นชุมชนเล็กๆที่เหลือ
อยู่ไม่กี่แห่งในกรุงเทพฯ ที่สร้างบ้านโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ใช้วัสดุจากธรรมชาติและใช้วิธีการก่อสร้างแบบดั้งเดิม มีการใช้ผนังและหลังคามุงจาก ใช้ไม้ไผ่เป็นโครงสร้างหลัก ซึ่งถ้าสังเกตดีๆจะมีดีเทลการต่อวัสดุที่น่าสนใจมากมาย




โรงเรียนรุ่งอรุณ

หลังจากที่เราออกจากชุมชนทุ่งครุแล้ว จุดหมายต่อไปของเราคือ อาศรมศิลป์ ซึ่งเป็นบริษัทสถาปนิก ที่ชนะการประกวดแบบรัฐสภาแห่งใหม่ด้วย
ภายในอาศรมศิลป์ ประกอบไปด้วย โรงเรียนรุ่งอรุณ ซึ่งเป็นโรงเรียนวิถีพุทธ มีความโดดเด่นแสดงความเป็เอกลักษณ์ของโรงเรียน ด้วยการนำรูปแบบของโครงสร้างไม้ และลักษณะของเรือนไทยพื้นถิ่น มาประยุกต์กับวัสดุสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว

พอดีตอนที่ไป เด็กๆกำลังทำศิลปะบำบัดกันพอดี เลยถือโอกาส ถ่ายรูปเก็บมาทำcase studyซะเลย

อาศรมศิลป์

ถือว่าคุ้มค่ากับการเดินทางมาไกลจริงๆ สำหรับออฟฟิศของอาศรมศิลป์ ซึ่งมีความงามของสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ที่นำเอาวัสดุธรรมชาติ กับวัสดุสมัยใหม่มาใช้ร่วมกัน
สิ่งที่เห็นได้ชัดจากอาศรมศิลป์ คือการอยู่ร่วมกันของความวัฒนธรรมดั้งเดิมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ สิ่งที่ดีงามที่มีมาตัุ้งแต่ครั้งโบราณ ความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น เป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม และควรระลึกถึงอยู่เสมอในการออกแบบ โดยเฉพาะการออกแบบสิ่งใหม่เพื่อทดทนสิ่งเดิม


pre-Trip : สระบุรี (บ้านอาจารย์ทรงชัย) : 10/07/2010

วันนี้เป็นวันเสาร์ เราเริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่ 8 โมงครึ่ง แต่ด้วยความที่ได้ไปเที่ยว เลยไม่มีใครบ่นว่าเช้าเกินไป

บ้านอาจารย์ทรงชัย อยู่ที่จ.สระบุรี เป็นบ้านไทยสมัยโบราณ ที่อาจารย์ท่านได้อนุรักษ์และเก็บสะสมของเก่าเอาไว้ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ของคนรุ่นหลังต่อไป

บรรยากาศเมื่อเช้ามาถึงในบ้าน ดูร่มรื่นมาก เต็มไปด้วยต้นไม้ ทั้งไม้ยืนต้นและพืชผักสวนครัว เหมือนเป็นการจำลองบรรยากาศสมัยโบราณ
เมื่อเดินเข้าประตูมา จะพบกับลานดินเป็นอย่างแรก ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงสเปซในสมัยโบราณ ที่มักจะมีลานดินเป็นที่สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

ตัวเรือนแยกออกเป็นหลังตามลักษณะการใช้สอย โดยมีสระน้ำอยู่ตรงกลาง

ตรงข้ามบ้านอาจารย์ เป็นหอวัฒนธรรมพื้นบ้าน ไทยวน ซึ่งมีความน่าสนใจไม่แพ้กัน มีการออกแบบให้เข้ากับธรรมชาติที่มีลักษณะเป็นภูเขา โดยออกแบบเป็นบันได 2ข้าง เพื่อปรับพื้นที่ให้ลดหลั่นกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมและธรรมชาติรอบข้าง



Vernacular Trip

Trip : 1st day :อุทัยธานี -กำแพงเพชร- ลำปาง : 24/07/2010

วันแรกของการเดินทาง จากทั้งหมด 9 วัน ทุกคนดูสนุสนาน ครึกครื้นเป็นพิเศษ ได้ไปเที่ยวก้ออย่างงี้แหละ อิอิ
เริ่มเปิดทริป ด้วยการไปดูชุมชนเรือนแพ จ.อุทัยธานี ที่นี่เป็นชุมชนเรือนแพที่มีจำนวนหลังคาเรือนมากที่สุดในประเทศ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน



เนื่องจาก จ. อุทัยธานี เป็นจังหวัดที่มีแม่น้ำสะแกกรังไหลผ่าน จึงมีชาวบ้านมาตั้งถิ่นฐานกันอยู่จำนวนมาก แต่ก่อนมีการค้าขายทางน้ำเป็นส่วนใหญ่ ผู้คนจึงนิยมมาตั้งรกรากกันริมน้ำ

แต่ปัจจุบัน การค้าขายทางน้ำได้ลดน้อยลงมาก ผู้คนจึงอพยพไปตั้งถิ่นฐานบนบกมากขึ้น ทำให้จำนวนแพในปัจจุบันลดน้อยลง





Trip : 2 nd day : ลำปาง : 25/07/2010

เช้าวันนี้ อากาศเย็นสบาย ครึ้มฝนเล็กน้อย อาหารเช้ามื้อแรกที่ลำปางวันนี้คือ ข้าวซอย ร้านดังติดกับโรงแรม อร่อยสมคำร่ำลืออย่างที่เค้าว่ากันจริงๆ

วัดไหล่หิน

เช้าวันนี้ เราเริ่มกันที่วัดไหล่หิน ซึ่งเป็นวัดเล็กๆแห่งหนึ่งใน จ.ลำปาง วัดนี้มีความพิเศษ ตรงที่มีการบูรณะวัดขึ้นมาใหม่โดยรักษารูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเดิมไว้ โดยเปรียบเทียบกับอุโบสถที่สร้างขึ้นมาใหม่ จะเห็นถึงความแตกต่างในเรื่องของสัดส่วนและวัสดุอย่างชัดเจน

ซุ้มประตู วิหาร เจดีย์ ระเบียงแก้ว ที่มีเสกลเดียวกัน

ระเบียงคด ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมสมัยก่อน

วัดพระธาตุลำปางหลวง

ต.ลำปางหลวง อ.เกาะคา จ.ลำปาง

เป็นวัดที่สำคัญของอาณาจักรล้านนาในสมัยโบราณ สร้างมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล สันนิษฐานว่าวัดนี้น่าจะมีอายุประมาณ พุทธศตวรรษที่20 และมีการบูรณะซ่อมแซมตลอดมา

องค์พระธาตุเจดีย์ สูงประมาณ 7 ศอก ภายในบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า

บริเวณทางเดินรอบๆวิหารหลวง


วิหารหลวง สร้างเมื่อ พ.ศ. 2019โดยเจ้าหมื่นคำเพชร ภายในมีซุ้มมณฑปประดิษฐานพระเจ้าล้านทอง ภายในมีภาพจิตรกรรมทศชาติ และพรหมจักรซึ่งสร้างขึ้นประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ 25

วัดปงยางคก

เป็นวัดเล็กๆในจ.ลำปาง

บรรยากาศรอบๆวัด แสดงให้เห็นถึงพิธีกรรมและความเชื่่อของชาวล้านนา

วิหารพระแม่เจ้าจามเทวี

สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 1253 เป็นโครงสร้างไม้ทั้งหมด โชว์โครงสร้างและไม่มีการตีฝ้าปิดซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมล้านนา

เมื่อเข้าไปภายในจะรู้สึกสงบ ด้วยเพดานสูง ภายในออกแบบโดยคำนึงถึงผู้ใช้ โดยออกแบบช่องเปิดให้พอดีกับระยะความสูงของคนเวลานั่งไหว้พระ และสามารถถ่ายเทอากาศได้เป็นอย่างดี

Trip : 3 rd day :ลำปาง: 26/07/2010

วัดพระแก้วดอนเต้า

หรือชื่อเต็มๆคือ วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม เป็นวัดที่เก่าแก่และสวยงามมีอายุนับพันปี เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 1979 เป็นเวลานานถึง 32 ปี

เหนือประตู 2 ข้าง เป็นตำแหน่งของสิงห์คู่ เอกลักษณ์วัดเมืองลำปาง

สาเหตุที่วัดนี้ได้ชื่อว่า วัดพระแก้วดอนเต้า ก็เนื่องมาจากพระมหาเถรแห่งวัดนี้ได้พบ แก้วมรกตในแตงโม( ภาษาเหนือ เรียกว่า หมากเต้า) และได้นำมาแกะสลักเป็นพระพุทธรูป ต่อมาได้มีการอัญเชิญไปไว้ที่พระธาตุลำปางหลวง จนถึงปัจจุบัน

ภายในมีการออกแบบช่องลม เป็นลูกกรงไม้ ข้างบนเป็นภาพเขียนจิตรกรรม

พระเจดีย์องค์ใหญ่ ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า และมณฑปศิลปะพม่าที่มีลักษณะงดงาม

ชุมชนชาวลำปาง

วันนี้เราลงสำรวจชุมชนในจังหวัดลำปาง ซึ่งบ้านแต่ละหลังมีความเป็นเอกลักษณ์ของบ้านพื้นถิ่นทางภาคเหนือ ใช้ใต้ถุนบ้านเป็นพื้นที่กิจกรรมต่างๆส่วนใหญ่ของวัน ทั้งนั่งเล่น เก็บของ เลี้ยงไก่ เป็นต้น มีการใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ

มีสเปซที่น่าสนใจหลายจุด เช่น ทางเข้าหน้าบ้าน มีการจัด Landscape โดยใช้ต้นไม้พื้นถิ่น รั้วบ้านที่เป็นผักสวนครัว สามารถนำมาปรุงอาหารได้ ประตูรั้วหน้าบ้านที่เกิดจากภูมิปัญญาพื้นบ้าน





ใต้ถุนบ้านใช้ทำกิจกรรมต่างในชีวิตประจำวัน

บ้านหลังนี้มี Approach ที่สวยมาก

วัดข่วงกอม

ต.แจ้ซ้อน อ.เมืองปาน จ.ลำปาง

เราแวะกินข้าวกลางวันกันที่นี่ วัดข่วงกอม วัดที่สร้างขึ้นมาใหม่แต่ยังคงใช้ระเบียบแบบแผนและเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมไทยโบราณ เป็นแนวทางในการออกแบบ มีการซ้อนชั้นของหลังคา ลดหลั่นกันเพื่อทอนสเกลความสูงของหลังคาลง

เดิมวัดข่วงกอมเป็นวัดเก่าแก่ ที่สร้างโดยครูบาศรีวิชัย มีอายุกว่า 200ปี มีสภาพทรุดโทรมมาก จึงได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ โดย ดร.วทัญญู ณ ถลาง ซึ่งท่านเป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียงของไทย ได้ทำการออกแบบใหม่ทั้งหมด แต่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของล้านนาเดิมของท้องถิ่น


ข้างๆกันนั้นเป็นกุฏิพระที่สร้างขึ้นมาใหม่ ภายในออกแบบให้มีกุฏิเล็กๆแยกออกเป็นหลังๆแต่เชื่อมกันด้วยสเปซตรงกลาง มีความร่มรื่น สงบ เหมาะกับการศึกษาพระธรรมเป็นอย่างมาก

แต่เนื่องจากตัวกุฏิตั้งอยู่ในทิศทางไม่เป็นมงคล ซึ่งขัดกับความเชื่อของล้านนาทำให้ไม่มีใครเข้าไปใช้กุฏิหลังนี้



เดินเข้าไปอีกนิด จะเจอกับบ้านหลังหนึ่ง เมื่อมองเข้าไปจะรู้สึกได้ถึงความร่มรื่น ด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ที่คุณลุงเจ้าของบ้านปลูกเองกับมือ อาจารย์น้ำบอกว่าลุงแกจัดสวนเก่งมาก ลุงแกก็คงปลื้มอยู่ไม่น้อย ดูจากหน้าตา

หลังบ้านแกติดทุ่งนา และลำธารเล็กๆ พวกเราจึงสนุกสนานกับการเดินเล่นในท้องนาอย่างมีความสุข

หลังจากที่เราเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว ก็ถึงเวลาพักผ่อน ที่อุทยานน้ำตกแจ้ซ้อน ที่นี่มีน้ำตกและบ่อน้ำพุร้อนให้ลงไปแช่กันได้ตามสบาย


ตอนเย็นเราแวะกินข้าวกันที่ตลาดในเมือง วันนี้เป็นวันเข้าพรรษา พวกเราจึงถือโอกาสนี้ในการเวียนเทียนที่วัดแถวๆนั้น จำชื่อไม่ได้แล้ว นานๆทีได้มีโอกาสเวียนเทียนซักครั้ง ถือเป็นสิริมงคลในการเดินทางครั้งนี้ของเราต่อไป




Trip : 4 th Day : ลำปาง : 27/07/2010

วัดปงสนุก

เป็นวัดที่ได้รับรางวัลด้านการบูรณะปฏิสังขรณ์ดีเด่น จากองค์การยูเนสโก โดยการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากทุกส่วนในชุมชน ทั้งพระสงฆ์และชาวบ้าน ช่วยกันให้ข้อมูลและร่วมกันศึกษาประวัติศาสตร์ โดยการบูรณะครั้งนี้ใช้ความละเอียดอ่อนอย่างยิ่งในการฟื้นฟูและตกแต่งประดับอาคารใหม่ เพื่อให้ได้ลักษณะและรูปแบบของสถาปัตยกรรมดั้งเดิมให้ได้มากที่สุด

วัดปงสนุกนี้แบ่งออกเป็นวัดปงสนุกเหนือและใต้ เนื่องจากมีอาณาเขตที่มากเกินไป ทำให้ต้องแบ่งเป็น 2 ฝั่ง เพื่อให้ง่ายต่อการดูแล

สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยที่เจ้าอนันตยศ ราชบุตรของพระนางจามเทวีแห่งหริภุญไชย (ลำพูน) เสด็จมาสร้างเขลางค์นคร (ลำปาง) เมื่อ พ.ศ.1223 หรือ 1,328 ปีก่อน


ทางขึ้นวิหารพระเจ้าพันองค์

เจดีย์และวิหารพระเจ้าพันองค์ ซึ่งมีธรรมเนียมในการขุดดินไปถมบนที่ตั้งของวิหาร ด้วยเชื่อว่าหากไม่ขุดดินไปถมน้ำจะท่วมบ้าน

วัดศรีรองเมือง

ตั้งอยู่ที่ ต.สบตุ๋ย อ.เมือง จ.ลำปาง อยู่ทางทิศใต้ของตัวเมืองลำปาง ด้านหลังวัดติดกับแม่น้ำวัง สร้างโดยคหบดีชาวพม่าซึ่งมารับจ้างฝรั่งชาวอังกฤษทำสัมปทานไม้ภาคเหนือ โดยมีความเชื่อว่าเมื่อพวกเขาได้ตัดไม้ โค่นต้นไม้ในป่า ย่อมต้องมีการขอขมาต่อธรรมชาติ หรืออีกนัยหนึ่งคือ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ พร้อมอธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธ์ในป่าคุ้มครองพวกเขาไม่ให้มีอันตราย

ตอนที่เราไปนั้นมีการบูรณะซ่อมแซมพระอุโบสถใหม่ทั้งหลัง เราจึงอดเห็นความสวยงามของอุโบสถหลังนี้ ซึ่งเป็นศิลปะแบบพม่าอย่างชัดเจน

ตัววิหารสร้างด้วยไม้สัก หลังคาซ้อน เป็นซุ้มเรือนยอดและเป็นกลุ่มของชั้นหลังคา มีลายฉลุบนสังกะสี




ภายในวิหาร มีพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะพม่าแบบมัณฑเลย์ มีเสาไม้ตกแต่งด้วยศิลปะการปั้นรักเป็นลวดลายเครือดอกไม้ พันธุ์พฤกษาแล้วประดับด้วยกระจกหลากสี
















พาไปดูห้องน้ำพม่าสมัยโบราณ... หรูหราไฮโซมากก
























วันนี้เรากินข้าวเที่ยงกันแถวๆตัวเมืองลำปาง เลยถือโอกาสแวะเข้าไปเดินเล่น ในตัวสถานีรถไฟลำปางซะเลย

บ้านชาวบ้าน....เรื่อยๆตามทาง


คนที่นี่มีวิถีชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ปลูกบ้านโดยภูมิปัญญาของช่างสมัยก่อน หน้าบ้านเป็นลานดินโล่ง เป็นบ้านแบบยกพื้นใต้ถุนสูง ข้างล่างใช้เก็บฟืน มีการใช้ผนังไม่ไผ่ขัดแตะผสมกับผนังไม้แผ่นและสังกะสี เป็นการผสมผสานวัสดุที่ต่างกันได้อย่างลงตัว


การเลือกใช้วัสดุที่ต่างกัน ทำให้เกอดเส้นตั้งและเส้นนอน มีการจัดวางองค์ประกอบได้อย่างลงตัว ทำให้เกิดมีรายละเอียดที่สวยงามขึ้น





คืนนี้เราย้ายที่นอนจากลำปางมานอนที่โรงแรมเล็กๆในตัวเมืองสุโขทัย ซึ่งเราต้องใช้เวลาเล็กน้อยในการทำความรู้จักและศึกษาเส้นทาง หาร้านอาหารอร่อยๆในเมืองนี้


Trip : 5 th Day : สุโขทัย : 28/07/2010

อุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย

เราเริ่มการเดินทางตั้งแต่เช้า 8โมงล้อหมุน ที่แรกในทริปวันนี้คือ จุดที่เป็นหัวใจของชาวเมืองสุโขทัยในสมัยก่อน คือ ทำนบพระร่วง หรือสรีดภงส์ ตั้งอยู่นอกกำแพงเมือง ซึ่งเป็นแหล่งธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ เปรียบเสมือนหลังคาที่สามารถรองรับน้ำฝนได้อีกด้วย ซึ่งเป็นความฉลาดของคนในเมือง ที่รู้จักการสร้างคันดินขึ้นมาเพื่อผันแปรทิศทางของน้ำ ให้ระบายไปยังส่วนต่างๆของตัวเมือง ใช้สำหรับอุปโภคบริโภคภายในเมือง

เข้ามาในตัวเมืองเก่า...เมืองมรดกโลก

วัดมังกร





จากซากที่หลงเหลืออยู่ เราจะเห็นกำแพงที่แบ่งเขตของวัด



วัดมหาธาตุ

เป็นวัดสำคัญของสุโขทัย เป็นศิลปะแบบสุโขทัยแท้ มีเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ล้อมรอบด้วยเจดีย์ 8 องค์






ภาพรวมของวัดสวยงามมาก โดยเฉพาะเวลาสะท้อนกับน้ำ



































วัดศรีชุม

















วัดพระพายหลวง
















ทางเข้าด้านหน้ามองเห็นพระปรางค์ 3 องค์ เด่นเป็นสง่าตั้งแต่เห็น


แวะบ้านตามทาง...













Trip : 6 th Day : อุตรดิตถ์ : 29/07/2010

เมืองลับแล จ.อุตรดิตถ์

วัดดอนสัก

เราแวะกินข้าวกลางวันกันที่วัดดอนสัก และเนื่องในโอกาสวันเข้าพรรษา พวกเราจึงนำหลอดไฟพรรษามาถวายพระเพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิต

วัดแห่งนี้มีพระอุโบสถที่เก่าแก่ มีสัดส่วนที่สวยงาม ลวดลายหน้าบันเป็นลายขมวด แกะสลักด้วยไม้ลวดลายวิจิตรสวยงาม ลวดลายของบานประตูและหน้าบันเป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่ช่วยเสริมให้เข้ากับอาคาร

หน้าบันแกะสลักด้วยไม้ มีความวิจิตรสวยงามมาก

ชุมชนบ้านฝายหลวง

เดินต่อเข้าไปที่ชุมชนตรงข้ามกับวัด เราก็จะพบกับบ้านพื้นถิ่นที่มีวิธีการก่อสร้างโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยใช้วัสดุธรรมชาติที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นของตนเอง

Trip : 7 th Day : สุโขทัย : 30/07/2010

อุทยานประวัติศาสตร์ ศรีสัชนาลัย

อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยตั้งอยู่ที่ตำบลศรีสัชนาลัย บริเวณที่เรียกว่า “แก่งหลวง” ห่างจากตัวอำเภอศรีสัชนาลัยลงมาทางอำเภอสวรรคโลก 11 กิโลเมตร ศรีสัชนาลัยเป็นเมืองพี่เมืองน้องกับสุโขทัย มีการใช้กำแพงศิลาแลง เพื่อบอกขอบเขต มีการใช้เส้นแกนในการวางตำแหน่งที่ตั้งต่างๆ

วัดกุฎีราย

วัดกุฎีราย ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองทางด้านทิศเหนือ อยู่ห่างจากประตูเตาหม้อประมาณ ๕๐ เมตร

มณฑปอาคารก่อด้วยศิลาแลงทั้งหลัง หลังคาใช้ศิลาแลงก่อเหลื่อมเข้าหากัน เลียนแบบเครือไม้


พิพิธภัณฑ์ เตาทุเรียง
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีการออกแบบสเปซได้สวยงามเหมาะสมกับการใช้สอยและยังแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของศรีสัชนาลัยได้เป็นอย่างดี

ศรีสัชนาลัย แหล่งครื่องปั้นดินเผาของไทย

วัดเจดีย์เก้ายอด

เดินทางตามเส้นทางของอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ตามเส้นทางจะพบกับวัดเก่าต่างๆ มากมาย แสดงให้เห็นว่า ในสมัยก่อนวัดมีบทบาทสำคัญในการดำรงชีวิตประจำวันของคนสมัยก่อนเป็นอย่างมาก

วัดนางพญา มีลวดลายปูนปั้น ประดับผนังที่มีชื่อเสียงว่างดงามมาก

วันนี้เหนื่อยมาก เพราะต้องเดินเท้าไปหลายที่ แต่เราก้อยังคงมีแรงไปเล่นเนตที่ร้านเนตหน้าโรงแรมได้เหมือนทุกวัน

Trip : 8 th Day : สุโขทัย : 31/07/2010

ชุมชนกงไกรลาศ

เป็นรูปแบบของชุมชนเก่า ที่สภาพบ้านเรือน มีลักษณะเป็นตึกแถวสมัยโบราณ หน้าบ้านเปิดเป็นร้านขายของต่างๆ ที่ยังคงดำรงรักษาวิถีชีวิตและแบบแผนดั้งเดิมเอาไว้

การตกแต่งหน้าร้านยังคงเป็นแบบสมัยเก่า

สนามบินสุโขทัย

เป็นสนามบินของ Bangkok Airways ที่ใช้เอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมแบบไทยเป็นต้นแบบในการออกแบบเกือบทั้งโครงการ ทั้งตัวอาคารรับรองผู้โดยสาร และส่วนของที่พักภายในสนามบิน

โดยการนำเอาเอกลักษณ์ของการวางอาคารของสถาปัตยกรรมสมัยโบราณมาประยุกต์ให้เข้ากับสมัยใหม่ โดยพยายามใช้วัสดุที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด

วันนี้เรานอนพักที่นี่เป็นคืนสุดท้ายแล้ว ก่อนที่พรุ่งนี้เราจะเดินทางกลับกรุงเทพ คิดแล้วก้อใจหายเหมือนกันนะ เวลามันช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน นี่ก็วันที่8แล้ว เหลือพรุ่งนี้อีก 1วันเท่านั้น..

Trip : 9 th Day : พิษณุโลก : 1/08/2010

พิษณุโลก

เริ่มทริปวันสุดท้าย กันที่วัดราชบูรณะ วัดที่อยู่ใจกลางเมืองพิษณุโลก อยู่เยื้องกับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหารหรือวัดหลวงพ่อพระพุทธชินราช

วัดราชบูรณะเป็นวัดโบราณ ที่สร้างขึ้นสมัยสุโขทัย และปฏิสังขรณ์ในสมัยพระเจ้าลิไท ภายในวัดมีโบราณสถานที่สำคัญอยู่มากมาย


พระอุโบสถ เป็นศิลปะแบบสุโขทัย หน้าจั่วเป็นแบบเก่า คือหน้าจั่วภควัม เช่นเดียวกับหน้าจั่ววิหารพระพุทธชินราช ประตูสลักลายเป็นดอกสี่กลีบ แบบดอกลำดวน รอบอุโบสถประดิษฐานเสมา เป็นเสมาคู่หินชนวน

ภายในมีพระประธาน พระพุทธรูปโลหะปางมารศรีวิชัย มีภาพจิตรกรรมผนังพระอุโบสถ ตอนบนเขียนเรื่องรามเกียรติ์ ตอนล่างเขียนเรื่อง กามกรีฑา เป็นจิตรกรรมสีฝุ่นบนผนังปูน ฝีมือช่างพื้นบ้าน

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหารหรือวัดหลวงพ่อพระพุทธชินราช

เดินข้ามสะพานลอยมาอีกฝั่งก็จะพบกับวัดชื่อดังของจ.พิษณุโลก ที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช พระคู่บ้านคู่เมืองของคนไทย

บรรยากาศภายในวัดเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย อาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ก็เป็นได้

หลังจากแวะชอปปิ้งของฝากกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกลับกรุงเทพกันแล้ว

เป็นอันว่าในที่สุด ทริปนี้ก็จบลงอย่างสวยงาม....^^

สรุป สิ่งที่ได้จากการไปทริป 9วัน

จากการที่ได้มีโอกาสไปสัมผัสวิถีชีวิตของคนในชุมชน ผู้เป็นเจ้าของพื้นที่แห่งนั้น ทำให้ได้รู้ว่าการที่เราจะเข้าไปสร้างหรือทำอะไรที่เป็นสิ่งใหม่ในที่ใดที่หนึ่งซักแห่ง สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือ ผลกระทบที่จะมีต่อคนในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม หรือวิถีชีวิตดั้งเดิมที่ชาวบ้านเหล่านั้นได้เคยมีมาตั้งแต่เกิด

ภูมิปัญญาชาวบ้าน คือสิ่งที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ เพราะนั่นคือสิ่งที่พวกเราจะได้เรียนรู้ ในสิ่งที่คนโบราณได้สั่งสมประสบการณ์มาเป็นระยะเวลานาน ทั้งวิธีคิด และวิธีการประยุกต์สิ่งต่างๆเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน

ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่ให้ประสบการณ์อันมีค่าเหล่านี้ แก่พวกเราทุกคน....

ขอบคุณเพื่อนๆที่ร่วมผ่านช่วงเวลาแห่งความทรงจำมาด้วยกัน....
ขอบคุณตัวเองที่ผ่านมาได้ถึงทุกวันนี้....